บลูมิ้งค์บล็อค

ธุรกิจ ซื้อมาขายไป ป้องกันการขาดทุนได้อย่างไรบ้าง ? มาหาคำตอบกันกับบลูมิ้งค์ครับ

ธุรกิจซื้อมาขายไป (Buy-Sell Business) เป็นธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูงในการขาดทุน เป็นธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูงเนื่องจากมีความไวต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาด โดยเฉพาะในช่วงเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน ต้องการการวางแผนและการบริหารการเงินอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อป้องกันการขาดทุน ดังนั้นการป้องกันการขาดทุนในธุรกิจซื้อมาขายไปจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ  เพื่อลดความเสี่ยงในการขาดทุน วันนี้มีเทคนิคหลายอย่างที่ช่วยให้ธุรกิจซื้อมาขายไปป้องกันการขาดทุนได้อย่างไรดังนี้

1. วางแผนการจัดซื้อ: การวางแผนการจัดซื้อเพื่อหาผู้ขายที่มีคุณภาพดีและราคาที่เหมาะสม โดยควรเลือกผู้ขายที่มีประสิทธิภาพสูงและความเชี่ยวชาญในวงการเพื่อให้สามารถจัดหาวัตถุดิบที่มีคุณภาพดีได้อย่างมีประสิทธิภาพ และราคาที่เหมาะสม

2. การจัดการคลังสินค้า: การจัดการคลังสินค้าให้เหมาะสม เพื่อลดการสะสมสินค้าในคลังและการเสียโอกาสขาย โดยควรคำนึงถึงจำนวนสินค้าที่ต้องการในช่วงเวลาที่กำหนดไว้ และเลือกใช้โปรแกรมระบบสต็อกในการจัดการสินค้า เพื่อช่วยลดการขาดทุนจากการเก็บสินค้าเกินความจำเป็น

3. จัดการการเงิน: การจัดการการเงินอย่างมีประสิทธิภาพเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันการขาดทุน โดยต้องระบุวงเงินที่จะใช้ในการซื้อวัตถุดิบ และวงเงินที่จะใช้ในการผลิตสินค้า และวางแผนการบัญชีที่ถูกต้องเพื่อระบุราคาทุนและกำไรสุทธิให้เป็นไปตามที่ต้องการ

4. ควบคุมคุณภาพสินค้า: ควรควบคุมคุณภาพสินค้าเพื่อป้องกันการขาดทุน โดยต้องมีการทดสอบสินค้าก่อนจะนำมาขาย และตรวจสอบคุณภาพของสินค้าก่อนจะจัดส่งให้ลูกค้า เพื่อป้องกันการคืนสินค้าโดยเกิดจากคุณภาพ นอกจากจะเสียโอกาสทางการขายแล้ว ยังอาจจะต้องขาดทุนจากค่าขนส่งสินค้าทดแทนสินค้าที่ชำรุดด้วย

5. การควบคุมค่าใช้จ่าย: การควบคุมค่าใช้จ่ายโดยใช้ระบบการบัญชีในการบันทึกการใช้จ่ายต่างๆ เช่น ค่าใช้จ่ายในการจัดส่ง ค่าใช้จ่ายในการเช่าพื้นที่ ค่าใช้จ่ายในการตลาด

6. การกำกับการตลาด: การกำกับการตลาดเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันการขาดทุนในธุรกิจซื้อมาขายไป โดยการตลาดต้องการการวางแผนให้มีประสิทธิภาพ และเลือกช่องทางตลาดที่เหมาะสม เพื่อให้สามารถขายสินค้าได้มากขึ้น นอกจากนี้ การกำกับการตลาดยังช่วยให้บริษัทสามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ

สุดท้ายนอกจากวิธีการข้างต้นแล้ว สิ่งที่ผู้ประกอบการมักจะลืมตรวจสอบ และคำนวณอย่างถี่ถ้วนก็คือ ต้นทุนแฝง

ต้นทุนแฝง (Hidden Costs) หมายถึงต้นทุนที่ไม่ได้ระบุไว้ในงบการเงินหรือไม่ถูกติดตามเป็นอย่างดี ซึ่งส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นจากกิจกรรมหรือกระบวนการภายในองค์กรที่ไม่เห็นได้ชัดเจนหรือสามารถตรวจสอบได้ยาก เช่น ค่าใช้จ่ายในการบริหารงานในแต่ละแผนก ค่าเช่าเครื่องมือ ค่าบำรุงรักษาอาคารและสิ่งก่อสร้าง เป็นต้น

การไม่ระวังต้นทุนแฝงอาจทำให้บริษัทสูญเสียผลกำไร โดยเฉพาะเมื่อต้นทุนแฝงมีความสำคัญในระยะยาว ตัวอย่างเช่น การปล่อยให้ต้นทุนแฝงที่เกี่ยวกับการบริหารงานหรือบริการลูกค้าสูงเกินไป อาจทำให้ลูกค้ามีความไม่พอใจและประสบปัญหาในการติดต่อกับบริษัท นอกจากนี้ ต้นทุนแฝงยังสามารถส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องในการดำเนินกิจการขององค์กรได้ในระยะยาว ดังนั้น ควรระวังต้นทุนแฝงและรวมถึงต้นทุนเหล่านี้ในการวางแผนงบประมาณขององค์กรในระยะยาว เพื่อให้เป็นไปตามแผนการเติบโตและมีกำไรในระยะยาวด้วยความยั่งยืน

การจัดการต้นทุนแฝงบน ERP (Enterprise Resource Planning) สามารถทำได้โดยการปฏิบัติตามขั้นตอนดังนี้

1. การตรวจสอบและระบุต้นทุนแฝง: การระบุและระบุต้นทุนแฝงที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการภายในองค์กร โดยควรรวบรวมข้อมูลการใช้จ่ายทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานขององค์กร จากนั้นสร้างสิ่งที่เรียกว่า "รายการต้นทุนแฝง" เพื่อจัดเก็บและติดตามต้นทุนแฝงใน ERP

2. การควบคุมต้นทุนแฝง: การใช้ ERP เพื่อควบคุมต้นทุนแฝง โดยต้องมีการกำหนดค่าใช้จ่ายเหล่านี้เป็นรายการบัญชีหรือรหัสสินค้า ทำให้สามารถตรวจสอบค่าใช้จ่ายและติดตามสถานะต้นทุนแฝงได้อย่างสม่ำเสมอ

3. การวิเคราะห์และปรับปรุงกระบวนการ: การวิเคราะห์กระบวนการที่เกี่ยวข้องกับต้นทุนแฝง เพื่อค้นหาและปรับปรุงกระบวนการเหล่านี้ เพื่อลดต้นทุนแฝงที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการภายในองค์กร โดยใช้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการภายในองค์กรที่ตรวจสอบได้จากระบบ ERP เพื่อค้นหาเหตุผลที่ส่งผลต่อต้นทุนแฝง และเลือกวิธีการแก้ไขที่เหมาะสม

4. การติดตามผลและประเมินผล: การติดตามผลของการปรับปรุงกระบวนการคิดนวณต้นทุนแฝงให้เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ เนื่องจากอาจจะมีรายการต้นทุนแฝงใหม่ ๆ เกิดขึ้นได้เสมอ ดังนั้นการติดตามและประมวลผลอยู่เสมอ จึงเป็นสิ่งที่ควรปฏิบัติ